วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ศิลปะการเขียนอักษร (Calligraphy Art)

    “ศิลปะการเขียนอักษร” หรือ Calligraphy Art (Shu Fa: 書法) นั้นไม่อาจเว้นที่จะกล่าวถึงเสียได้ หากมีความสนใจในศิลปะกลุ่มตะวันออกไกลโดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะจีนและญี่ปุ่น เพราะศิลปะแขนงนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ศิลปะลำดับแรกของวัฒนธรรมจีน” (the first art of China: 書 法 素 有 中 國 第 一 藝 術 的 美 稱) เลยทีเดียว


     ประเพณีนิยมในงานศิลปะของจีนและญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานศิลปะที่สัมผัสรับรู้ทางสายตา (Visual Arts) นั้น มีลักษณะที่ไม่สามารถแยกประเภทงานจิตรกรรม บทกวี และศิลปะการเขียนอักษรออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เรามักจะพบว่าทั้งสามสิ่งนี้หลอมรวมอย่างมีเอกภาพอยู่ในผลงานชิ้นเดียวเสมอ หรือจะกล่าวให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น วัฒนธรรมที่ได้ชื่อว่า “วัฒนธรรมแห่งจิตวิญญาณ” (Spiritual Culture) ของชาวตะวันออกนั้น ไม่อาจจะแบ่งแยกกรอบของโลกแห่งความงดงามของศิลปะ และโลกแห่งความจริงของธรรมชาติตลอดจนความเชื่อทางศาสนาออกจากกันได้เลย ศิลปะจีนและญี่ปุ่นแนบชิดสนิทอยู่กับความเชื่ออย่างลึกซึ้งในลัทธิศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เต๋า” และ “เซน” ซึ่งเอื้อต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะจนทำให้ญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็น “วัฒนธรรมแห่งศิลปะ” เพราะปรัชญาทั้งสองกระแสนี้สามารถแทรกซึมอยู่ในชีวิตด้านวัฒนธรรมของประชาชนในทุกแง่ทุกมุม
     จากภาษาอังกฤษคำว่า Calligraphy หมายถึง “การเขียนที่งดงาม” (beautiful writing) ซึ่งความหมายตามรากศัพท์ของชาวตะวันตก ได้หมายรวมถึงรูปแบบการเขียนอักษรในวัฒนธรรมต่างๆทั่วทั้งโลก แต่ศิลปะการเขียนอักษรของจีนนั้น กล่าวได้ว่า ถูกให้คุณค่าและความหมายอย่างเฉพาะเจาะจงในระดับที่ไปเหนือกว่านั้นมากมายนัก

ศิลปะการเขียนอักษรของจีน เป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและให้อิทธิพลแก่วัฒนธรรมเอเชียมาเป็นเวลาช้านาน ในวัฒนธรรมจีนเองอาจจะถือว่าการเขียนอักษรเป็นรูปแบบของศิลปะชั้นสูงที่มีคุณค่ายิ่งกว่างานจิตรกรรมหรือประติมากรรมด้วยซ้ำไป ศิลปะแขนงนี้มักจะถูกจัดให้อยู่ร่วมกับงานกวีนิพนธ์ ซึ่งเชื่อว่าสามารถถ่ายทอดลักษณะส่วนตนและความมีอารยธรรมที่สูงส่งได้ และเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่น่าสนใจที่ว่า “กระบวนวิธีการเขียน” มีความสำคัญทัดเทียมกับ “เนื้อหาเรื่องราวที่ถูกเขียน”
     ในวัฒนธรรมจีนมุ่งหมายให้บุคคลชนชั้น “บัณฑิต” หรือชนชั้นผู้นำ พึงมีความรู้และทักษะพื้นฐานที่สำคัญอยู่สี่ประการ ได้แก่ ศิลปะการเขียนอักษร (Shu: calligraphy) การวาดภาพ (Hua: painting) การดีดพิณหรือดนตรีเครื่องสายต่างๆ (Qin: a string musical instrument) และเกมหมากกระดาน (Qi: a strategic board game) ขนบธรรมเนียมอันนี้สะท้อนให้เห็นว่าศิลปะการเขียนอักษรเป็นทักษะขั้นสูงที่ได้รับการยกย่อง ด้วยเชื่อว่าเป็นแบบแผนทางศิลปะที่มีลักษณะนามธรรมและสูงส่ง (abstract and sublime) สามารถถ่ายทอดความคิดและบุคลิกภาพเฉพาะตนของศิลปินผู้เขียนได้ การเขียนอักษรจึงมีความสำคัญถึงขนาดที่ถูกกำหนดให้เป็นข้อทดสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ และเนื่องจากลักษณะที่แตกต่างจากศิลปะแบบอื่น เช่น ร่องรอยฝีแปรงเมื่อเขียนตัวอักษรนั้นเป็นไปอย่างฉับพลัน ไม่สามารถแก้ไขได้หากมีการผิดพลาด จึงต้องมีการวางแผนในการเขียนอย่างรัดกุม มีสมาธิ และต้องเขียนลงไปอย่างมั่นใจ ในขณะที่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องของโครงสร้างภาษาและคำ แต่เวลาเดียวกันก็มีการแสดงออกซึ่งความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง เป็นการฝึกฝนจินตนาการ สัมผัสถึงกฎเกณฑ์ที่ไร้ตัวตน ทั้งยังเป็นการตระหนักรู้ถึงคุณงามความดีอีกด้วย ซึ่งคุณลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คาดหวังให้มีในตัวของผู้ปกครองหรือผู้นำที่มีความสามารถนั่นเอง
     ด้วยการควบคุมน้ำหมึก ความหนาบางและการดูดซึมของกระดาษ ความยืดหยุ่นของขนแปรงอย่างมีสมาธิ ศิลปินเขียนอักษร (calligraphers) จึงมีอิสระในการสร้างสรรค์รูปแบบและรูปร่างที่แตกต่างไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งต่างไปจากการเขียนตัวอักษรในโลกตะวันตก ที่มักจะมีการกำหนดรูปแบบตายตัวและมีบุคลิกลักษณะเหมือนๆกัน ที่เป็นเพียงงานฝีมือระดับหนึ่งเท่านั้น หากสำหรับศิลปินเขียนตัวอักษรในโลกตะวันออกแล้ว การเขียนตัวอักษรเป็นการฝึกฝนจิตอย่างหนึ่งซึ่งเป็นการทำงานอย่างสัมพันธ์กันระหว่างจิตกับกาย เพื่อเลือกสไตล์การแสดงออกที่สอดคล้องกับเนื้อหาและความรู้สึกที่ต้องการนำเสนอ มันจึงเป็นการฝึกฝนขั้นสูงที่หลอมรวมเอาลักษณะทางกายภาพและจิตวิญญาณเข้าไว้ด้วยกัน
     ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีนมีศิลปินเขียนอักษรที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งศิลปะแขนงนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมในชาวจีน เกาหลี และญี่ปุ่นเท่านั้น หากยังเป็นสมบัติที่มีคุณค่า เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติตะวันออกไกลอีกด้วย ในปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาจำนวนมากในประเทศเหล่านี้ที่ยังคงให้ความสำคัญ มีการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัย และมีการจัดประกวดศิลปะการเขียนอักษรอย่างกว้างขวาง
     ศิลปะการเขียนอักษรนั้นแม้จะได้รับการถ่ายทอดในภาษาจีนหรือญี่ปุ่น แต่การไม่รู้ภาษาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางการรับรู้สุนทรียภาพ ไม่จำเป็นที่ผู้ชมจะต้องรู้ภาษาเหล่านั้น เพราะโดยเนื้อแท้แล้วศิลปะการเขียนตัวอักษรถือได้ว่าเป็นงานศิลปะนามธรรมแบบหนึ่ง หากเราดูภาพวาดนามธรรมของตะวันตก ก็ไม่จำเป็นต้องถามว่า “นี่รูปอะไร” เช่นเดียวกันกับการชื่นชมศิลปะการเขียนอักษร ก็ย่อมไม่จำเป็นต้องถามว่าถ้อยคำเหล่านั้นสื่อถึงเรื่องราวอะไร ความงดงามแบบนามธรรม ถูกสื่อสารออกมาด้วยเส้นสาย จังหวะและโครงสร้าง ที่มีอย่างเพียบพร้อมในงานเขียนอักษรโดยไม่ต่างจากงานจิตรกรรมหรือประติมากรรมแบบนามธรรมอื่นๆเลย
     อย่างไรก็ตาม หากจะสัมผัสถึงศิลปะแขนงนี้อย่างลึกซึ้ง ความเข้าใจในที่มาและลักษณะของภาษาเช่นลักษณะของการเขียน และลักษณะของตัวอักษรและการสื่อความหมายก็สามารถช่วยให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงอรรถรสของศิลปะการเขียนอักษรได้ดียิ่งขึ้น และแม้ว่าศิลปะการเขียนอักษรจะมีการสร้างสรรค์อย่างอิสระ ก็ยังมีผู้ที่พยายามสร้างทฤษฎีที่ชัดเจนอยู่ เช่น ตู้เหมง (Tu Meng) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง หรือในราว ค.ศ. 618-905 ได้พัฒนาทฤษฎีที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบของการเขียนอักษรไว้ถึง 120 แบบ ยกตัวอย่างเช่น การแสดงถึงทักษะฝีมือ (ability), ความน่าประหลาดใจ (mysterious), ความระมัดระวัง (careful), ความอิสระไร้กังวล (carefree), ความสมดุล (balance), การไร้ข้อจำกัด (unrestrained), ความเสร็จสมบูรณ์ (mature), ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว (virile), ความนุ่มนวล (grace), ความจริงจัง (sober), ความมั่นคง (well-knit), การพรรณนา (prolix), ความรุ่มรวย (rich), ความมีชีวิตชีวา (exuberant) และความมีแบบแผน (classic)
     ในประเทศจีน เชื่อกันว่าการเขียนอักษรสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความคิด อารมณ์ความรู้สึก บุคลิกภาพรวมถึงความสามารถของบุคคลออกมาได้ แม้ในปัจจุบันก็ยังมีการอ่านคนจากลายมืออยู่อย่างแพร่หลาย ตัวอักษรที่ถ่ายทอดบนแผ่นกระดาษหรือผืนผ้าไหม เปรียบเสมือนเครื่องบันทึกการทำงานของร่างกายและจิตใจอย่างละเอียดลออ
     ในช่วงเวลาก่อนที่จะมีการค้นพบเทคโนโลยีด้านการพิมพ์ในประเทศจีน งานคัดลอกหนังสือด้วยลายมือมนุษย์ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการบันทึกเรื่องราวและความรู้ต่างๆ การคัดลอกนี้จะทำอย่างประณีต โดยทั่วไปจะร่างขอบของตัวอักษรทีละตัวทีละส่วนแล้วจึงระบายสีลงไปตามโครงร่างนั้น แต่นักคัดลอกที่มีความเชี่ยวชาญจะสามารถคัดลอกลักษณะอาการของตัวอักษรต้นแบบลงไปอย่างอิสระได้ โดยพยายามคงความคล้ายคลึงกับต้นฉบับเดิมให้มากที่สุด
     งานเขียนต้นฉบับที่มีชื่อเสียงนั้น มักจะเสียหายไปเป็นจำนวนมากเมื่อผ่านกาลเวลาที่ยาวนานเพราะวัสดุที่ใช้ไม่คงทน เช่น กระดาษ หรือผ้าไหม ผลงานที่เหลือในปัจจุบันจึงเป็นการทำซ้ำเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเทคโนโลยีด้านการพิมพ์ภาพถูกพัฒนาขึ้น จึงเริ่มมีการทำต้นแบบพิมพ์บนแผ่นหินหรือที่เรียกว่าเทคนิค ภาพพิมพ์หิน (engraving) เพื่ออนุรักษ์ผลงานชิ้นสำคัญในประวัติศาสตร์เอาไว้ศึกษาต่อไป ซึ่งผลงานทำซ้ำเหล่านั้นได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าเช่นเดียวกับต้นฉบับจริง
ภาพทำซ้ำเหล่านี้ได้เป็นต้นแบบในการศึกษาศิลปะการเขียนอักษร ผู้ศึกษาจะต้องฝึกคัดลอกผลงานชิ้นเอกของศิลปินที่มีชื่อเสียงในอดีต ทั้งจังหวะและน้ำหนักมือ คัดลอกไปเรื่อยๆจนเกิดความชำนาญ ก่อนที่จะฝึกฝนในขั้นสูงเพื่อพัฒนาในรูปแบบของตนเองต่อไป เช่นเดียวกับวิธีการหัดเขียนลายไทยในบ้านเราที่ต้องคัดลอกตามแบบของครูอาจารย์อย่างเข้มงวดเสียก่อน
     ศิลปะการเขียนอักษรจีนนั้น สามารถจำแนกได้เป็นสองเรื่องสำคัญ ได้แก่ วิถีของฝีแปรง (the Brush Methods: 筆法 ) และวิถีของจิต (the Mental Methods: 心法 ) วิถีทั้งสองนี้ต่างสัมพันธ์กันอยู่ในกระบวนการสร้างสรรค์ ในวิถีของฝีแปรงเป็นการแสดงออกซึ่งทักษะความชำนาญจนสามารถเคลื่อนไหวมือ แขนและพู่กันไปอย่างอิสระ และในวิถีของจิตจะเกิดขึ้นจากสมาธิ กล่าวกันว่าหากฝึกฝนด้านใดด้านหนึ่งแล้ว ก็จะเกิดการพัฒนาในอีกด้านหนึ่งไปพร้อมๆกันด้วย
     การเขียนอักษรในความหมายของการฝึกฝนจิต เป็นไปโดยมีเป้าหมายเพื่อแสดงออกถึงความงดงามภายในจิตวิญญาณซึ่งถูกหลอมรวมกับความสามารถและทักษะในการแสดงออก วิธีการฝึกฝนนี้มีความสำคัญเพราะเชื่อว่าสามารถยกระดับมนุษย์ในทุกๆด้าน และทำให้ชีวิตเกิดความสมดุล ลักษณะเช่นนี้จึงเป็นการเชื่อมโยงให้ศิลปะสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับความคิดความเชื่อทางศาสนาได้อย่างกลมกลืน
     “ศิลปินย่อมใช้หนทางแห่งศิลปะและสุนทรียภาพในการเข้าถึงความจริง เข้าสู่เต๋า เข้าสู่เซน อันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงบำรุงสรรพสิ่ง ศิลปินทางตะวันออกได้ใช้หนทางแห่งความงามในการเข้าถึงสิ่งนี้ เขาย่อมไปพ้นจากวิธีการ รูปทรง รูปแบบ และความเหมือนใดๆ เขาย่อมไปพ้นจากขอบเขตอันจำกัดรัดรึงของรูปทรงและรูปแบบ หากดำเนินเข้าสู่ต้นกำเนิดของมันโดยตรง” ที่กล่าวมาเป็นภาพกว้างๆเกี่ยวกับศิลปะการเขียนตัวอักษร ซึ่งมีความสำคัญมากในศิลปะประเพณีนิยมกลุ่มตะวันออกไกล สำหรับท่วงท่าของศิลปะแขนงนี้ ในบทความที่ชื่อ “เต๋ากับศิลปะการวาดภาพอาจารย์พจนา จันทรสันติ ได้บรรยายถึงท่วงท่าเคลื่อนไหวของพู่กันได้อย่างงดงามในเชิงวรรณศิลป์ แม้จะยาวไปสักหน่อยแต่ผู้เขียนขออนุญาตยกมาและเป็นบทส่งท้ายบทความนี้ไปพร้อมกัน เพราะจะหาใครที่พรรณนาถึงอาการร่ายรำพู่กันได้งดงามจนเห็นภาพเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยค่ะ
     “เมื่อความงามได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อพลังการสร้างสรรค์ได้พุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสูงสุด ศิลปินย่อมกลายเป็นผู้สร้างสรรค์เสียเอง ตัวเขาเองคือธรรมชาติผู้สร้างสรรค์ เขาย่อมจับพู่กันขึ้น ทั้งมือและพู่กันกลายเป็นสิ่งๆเดียวกันที่ไม่อาจแยกจากกันได้ พลังการสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ของจักรวาลล้วนรวมอยู่ที่ปลายพู่กัน พู่กันของเขายิ่งใหญ่กว่าขุนเขา สงบยิ่งกว่าพื้นดิน อ่อนโยนกว่าสายลม และใสกว่าธารน้ำ ปลายพู่กันตวัดลงบนแผ่นกระดาษและผืนไหมอย่างเต็มไปด้วยพลัง เคลื่อนที่ไปตามวิถีทางอันเร้นลับที่ถูกชักนำจากภายใน ปลายพู่กันจรดลงไปบนกระดาษ ลากไปอย่างช้าๆปลายขนแผ่ออกกดกระแทกลงไปเป็นเส้นหนาหนัก ลากไปอย่างช้าๆแต่หนักหน่วง พู่กันหยุดยั้ง ตวัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง เส้นขาด บางเบา ขนที่ปลายพู่กันคล้ายดั่งสิ่งไร้สสาร หุบเล็กแล้วแผ่ออก เป็นไปดังใจปรารถนา พู่กันเคลื่อนไปด้วยหลัก “ต่อเนื่องและชะลอหยุดยั้ง” บางครั้งเคลื่อนไหว ลางครั้งหยุด บางครั้งแผ่ออก บางครั้งหดเล็กเข้า บางครั้งหนา บางครั้งเบา บางครั้งมืดทึบ บางครั้งแผ่วจาง ลากจากซ้ายไปขวา จากขวามาซ้าย เลื่อนขึ้นไปสูง ดิ่งลงสู่เบื้องต่ำ เส้นแต่ละเส้นในภาพเปี่ยมไปด้วยพลัง เต็มไปด้วยอานุภาพแห่งความงามและการสร้างสรรค์ เส้นบางเส้นมีระดับหมึกอยู่สามระดับ ห้าระดับ เจ็ดระดับ บางเส้นขาด บางเส้นต่อเนื่อง บางเส้นนุ่ม บางเส้นแข็ง บ้างก็เป็นจุดแต้ม เป็นลีลาแท้ๆของธรรมชาติที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นความงามและมีชีวิต เส้นแต่ละเส้นทรงพลังและเปี่ยมล้นด้วยความงาม จุดแต่ละจุดยิ่งใหญ่เทียมเท่าจักรวาล การวาดรูปเป็นไปด้วยตัวเอง ดั่งสายน้ำไหล มิหยุดยั้งขาดตอน ลีลาของมันประสานสอดคล้องและกลมกลืนดังการหมุนของโลก ดังการเคลื่อนคล้อยของจักรวาล เป็นหนึ่งเดียวที่ปราศจากการแบ่งแยก ปลายพู่กันบางครั้งหดเล็กเท่าปลายเข็ม บางครั้งแผ่ขยายออกจนสุดโลก จิตใจที่ว่างของศิลปินได้เข้าถึงสัจธรรม ไปพ้นจากขอบเขตใดๆ กว้างขวางและปราศจากอุปสรรคใดๆ ผลงานของเขาจึงยิ่งใหญ่ ในขณะที่การสร้างสรรค์เข้มข้นถึงขีดสุด เขาได้เข้าถึงความเป็นอมตะและนิรันดร ไปพ้นจากขอบเขตของกาลเวลาและสถานที่ เป็นอกาลและอเทศะ สุนทรียภาพได้ปรากฏออกมาเป็นผลงานทางศิลปะอันสูงค่าและอมตะ สิ่งนี้ปราศจากวิธีการ หากดำเนินตามทางของเต๋าอันยิ่งใหญ่ ปราศจากผู้กระทำ ปราศจากผู้สร้าง เป็นธรรมชาตินั้นเองที่ได้สร้างสรรค์งานนี้ขึ้น นกก็ปรากฏขึ้นเป็นนก ดอกหญ้าก็เป็นดอกหญ้า บริสุทธิ์และสูงส่ง ดำรงอยู่ในสภาพเดิมแท้โดยไม่มีใครไปแตะต้องให้เป็นราคี ผลงานของเขาเป็นผลจากการเข้าถึงสัจธรรม…”

ชินโต : ศาสนาแห่งความงาม ธรรมชาติ ความรักและความศรัทธา


     วัฒนธรรมทางความคิดของประเทศญี่ปุ่น เป็นผลมาจากความเชื่อความศรัทธาในศาสนาและปรัชญาสามกลุ่มหลัก ได้แก่ ขงจื๊อ พุทธศาสนา และชินโตญี่ปุ่นรับเอาลัทธิขงจื๊อมาจากประเทศจีนโดยตรง พุทธศาสนาแม้จะมีรากฐานมาจากประเทศอินเดียแต่พุทธศาสนาที่เผยแพร่มาถึงญี่ปุ่นเป็นรูปแบบที่ได้รับการผสมผสานกับปรัชญาเต๋าและถูกปรับเปลี่ยนจากประเทศจีนมาก่อนแล้ว ส่วนชินโตนั้นกล่าวได้ว่าเป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ถือกำเนิดในดินแดนญี่ปุ่นเอง สำหรับศิลปะ แม้จะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในวงวิชาการว่าพุทธศาสนานิกายเซนได้ให้อิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะแขนงต่างๆของประเทศนี้ แต่การเว้นที่จะกล่าวถึงชินโต อันเป็นปรัชญาความเชื่ออีกกระแสหนึ่งซึ่งแฝงอยู่ในวิถีคิดของชาวญี่ปุ่นควบคู่กัน คงจะทำให้การกล่าวถึงศิลปะญี่ปุ่นไม่ครบถ้วนรอบด้านเท่าที่ควร
     ผู้เขียนตั้งใจจะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับชินโตและศิลปะ โดยแบ่งบทความออกเป็นสองตอนซึ่งแต่ละตอนจะจบสมบูรณ์ในตัวเอง ในบทความนี้ถือเป็นตอนแรกซึ่งจะนำเสนอประวัติความเป็นมาของชินโต ความสำคัญของลัทธินี้ที่เราสามารถพบเห็นร่องรอยหลักฐานได้ในทุกสิ่งทุกอย่างของความเป็นญี่ปุ่น แม้ในปัจจุบันสิ่งที่กล่าวมาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปนัก และในฉบับต่อไปจะนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญาความคิดชินโตที่ส่งผ่านไปสู่งานศิลปะ รวมถึงลักษณะเด่นของงานศิลปะที่อยู่ภายใต้อิทธิพลแนวคิดแบบชินโตค่ะ
     มีผู้กล่าวว่า ชินโต ไม่ได้เป็นเพียงปรัชญาความคิดหรือลัทธิศาสนาเท่านั้น หากชินโตเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรม ความเชื่อดั้งเดิม และเอกลักษณ์ของความเป็นชนชาติญี่ปุ่น เพราะอุปนิสัยและลักษณ์เด่นทางวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นล้วนถูกหล่อหลอมขัดเกลาด้วยคำสอนของชินโต จนทำให้คนญี่ปุ่นทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตามเติบโตขึ้นมาภายใต้หลักคำสอนและหลักปฏิบัติชินโตทั้งสิ้น และแม้ครั้งหนึ่งเคยมีความพยายามที่จะนำเอาปรัชญาความคิดนี้เผยแพร่สู่ประเทศอื่นๆอย่างเกาหลี จีน และทิเบต แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จทำให้ในปัจจุบันชินโตจึงเติบโตและรุ่งเรืองอยู่เฉพาะบนเกาะญี่ปุ่นเท่านั้น
     ก่อนที่ศาสนาพุทธจะเข้ามาในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ญี่ปุ่นไม่มีคัมภีร์ทางศาสนา ไม่มีลัทธิปรัชญา แนวคิดด้านอภิปรัชญาที่จะอธิบายความเป็นจริงของโลกและจักรวาลก็มีอยู่ไม่มากนักและยังไม่เป็นระบบ ไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติในลักษณะที่แยกมนุษย์กับธรรมชาติออกจากกันหรืออธิบายธรรมชาติว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องศึกษาพิจารณาในฐานะของ “โลกภายนอก” ความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ามนุษย์คือส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากธรรมชาติองค์รวม (the whole) และมนุษย์ถูกอธิบายหรือให้นิยามความหมายว่าเกิดจากการรวมกันขึ้นของธาตุต่างๆหรือพลังในธรรมชาติ
     แรกเริ่มเดิมทีความคิดความเชื่อซึ่งเป็นศาสนาโบราณของญี่ปุ่น พบเงื่อนเค้าว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล โดยอยู่ในรูปแบบของการกราบไหว้บูชาธรรมชาติเช่นเดียวกับศาสนาโบราณในดินแดนแถบอื่นทั่วโลก เป็นความเชื่อในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ (Fertility cults) มีการบูชาบรรพบุรุษสืบทอดเป็นสายตระกูล มีหัวหน้าตระกูลหรือชนเผ่าที่เรียกว่า อุจิ (Uji) ผู้ซึ่งเป็นผู้นำในการปกครองพร้อมๆกับที่เป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณไปด้วย ในช่วงเวลานั้นกฎระเบียบในการปกครองไม่ได้แยกออกจากศาสนา ทำให้ความเชื่อต่างๆในสังคมได้หลอมรวมเข้าเป็นระบบเดียวกัน และยังมีการบูชาวีรบุรุษของชนเผ่าหรือของท้องถิ่นในฐานะเทพ (Hero worship) โดยภาพรวมแล้วจึงกล่าวได้ว่าในช่วงเวลานั้นชาวญี่ปุ่นโบราณเคารพนับถือลัทธิวิญญาณนิยม เทพเจ้าหรือจิตวิญญาณในโลกธรรมชาติในลักษณะของเทพตำนาน
     สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดศาสนาชินโต คือความพยายามสร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างความเชื้อดั้งเดิมของญี่ปุ่นกับศาสนาพุทธที่เข้ามามีบทบาทในสังคมญี่ปุ่น ในสมัยโตกุกาวา กลุ่มนักปราชญ์โคคุกากุชู (nativists)  ซึ่งศึกษาเทพตำนานและตำนานแห่งการเกิด (nativism) ได้รวบรวมความรู้และตำนานต่างๆเกี่ยวกับการกำเนิดโลกและประเทศญี่ปุ่น จนในปี ค.ศ. 712 คัมภีร์โคจิกิ (Kojiki) หรือบันทึกเรื่องราวโบราณก็ถูกรวบรวมขึ้นเป็นผลสำเร็จ และในปี ค.ศ. 720 คัมภีร์นิฮอนกิ (Nihonki, Nihon-Shoki) หรือบันทึกเหตุการณ์ของญี่ปุ่น  ก็ได้รับการรวบรวมขึ้นเป็นลำดับต่อมา คัมภีร์ทั้งสองเล่มกลายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชินโต ในครั้งนั้นเองคำว่า ชินโต ก็ได้ถูกคิดขึ้นและใช้เรียกศาสนานี้ นับแต่นั้นมาศาสนาชินโตก็มีระบบระเบียบชัดเจนมากขึ้นและมีอิทธิพลอย่างสูงต่อประเทศญี่ปุ่นมาต่อเนื่องยาวนานอย่างไม่ขาดกระแสตั้งแต่สมัยราชวงศ์ยามาโตะ จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
     ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผลจากการปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration, 1868) ชินโตได้กลายเป็นศาสนาประจำชาติของญี่ปุ่น เกิดเป็นแนวคิดที่แบ่งเป็น “ชินโตแห่งรัฐ” และ “ชินโตแห่งนิกาย”  ชินโตแห่งรัฐนั้นหมายความว่าไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรแต่ถ้าถือสัญชาติญี่ปุ่นแล้ว บุคคลผู้นั้นจะต้องนับถือชินโตแห่งรัฐนี้ด้วย เป็นการสร้างชินโตในรูปขององค์กรที่เอื้อประโยชน์ด้านการเมืองการปกครอง สร้างจิตวิญญาณของความเป็นรัฐชาติที่ให้ความเคารพบูชาสถาบันกษัตริย์และพระจักรพรรดิญี่ปุ่น (mikado) ในฐานะผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพีแห่งดวงอาทิตย์ มีสิทธิ์อำนาจอันชอบธรรมในการปกครองผืนแผ่นดินญี่ปุ่นตามเทพตำนานที่บันทึกไว้คัมภีร์โคจิกิและนิฮอนกิ หากมองในแง่มุมของศาสนา ชินโต มีลักษณะเด่นคือ
   ศาสนาชินโต ไม่มีศาสดา ไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนา
   ศาสนาชินโต ไม่มีพระคัมภีร์ทางศาสนาที่สมบูรณ์
   ศาสนาชินโต ไม่มีบทบัญญัติในการประพฤติปฏิบัติที่ตายตัว
   ศาสนาชินโต เป็นองค์กรนักบวชที่ไม่เคร่งครัดในเรื่องวัตรปฏิบัตินัก
   ศาสนาชินโต เป็นศาสนาธรรมชาติ หรือชาติพันธุ์ (natural or ethnic religion)
     คำว่า “ชินโต” (Shinto, 神道) มีที่มาจากตัวอักษรภาษาจีนสองคำคือ ชิน (Shin) และ เต๋า (Tao, Dao) ชิน หมายถึง เทพเจ้า หรือพลังอำนาจแห่งจิตวิญญาณ และ เต๋า หมายถึง หนทางหรือวิถี เมื่อรวมกันแล้วแปลได้ว่า “ทางแห่งเทพเจ้า” (The way of gods) ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเองก็มีอีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกคือคำว่า คามิ-โน-มิชิ ซึ่งแปลให้ตรงตัวก็คือ “ทางแห่งคามิ” ค่ะ
     ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของชินโตคือความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณในธรรมชาติ ที่เรียกว่า คามิ (kami : 神) นั่นเอง ตามความหมายของคำ คำว่าคามิแปลว่า “สูงกว่า” (upper) และคำๆนี้ยังสามารถจำแนกความหมายได้ 3 แบบคือ บริสุทธิ์ หรือสว่างรุ่งเรือง สูงส่งกว่า และแปลกประหลาด ลึกลับ น่ากลัว ซ่อนเร้น เหนือธรรมชาติ  โมโตโอริ (Motoori, 1730-1801) นักเทววิทยาชินโตคนสำคัญได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับ คามิ ไว้ว่า“ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น แม้แต่นก สัตว์ พืช ต้นไม้ ทะเล ภูเขา และทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไร ที่สมควรแก่การเกรงขามและแสดงออกถึงพลังที่พิเศษและเด่น เหล่านี้เรียกว่า คามิ และไม่จำเป็นที่จะต้องเด่นในด้านความงาม ความดี หรือความสามารถเท่านั้น สิ่งที่ร้ายกาจ และสิ่งที่ประหลาดลึกลับซึ่งบุคคลทั่วไปเกรงกลัว ก็เรียกว่า คามิ พระจักรพรรดิ (Mikado) ที่สืบสันติวงศ์กันลงมา มนุษย์ที่สูงส่งซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากมายทั้งในสมัยโบราณและสมัยปัจจุบัน สุนัขจิ้งจอก เสือ หมาป่า ลูกท้อ เพชร พลอย ล้วนเรียกว่า คามิ”
     คามิที่สำคัญที่สุดของชินโตปรากฏอยู่ในคัมภีร์โคจิกิ บันทึกเรื่องราวเทพตำนานญี่ปุ่นซึ่งกล่าวถึง อิซานะกิ (Izanaki) และ อิซานะมิ (Izanami) เทพฝ่ายชายและเทพฝ่ายหญิงซึ่งเป็นปฐมกำเนิดของเหล่าทวยเทพและของสรรพสิ่งทั้งมวลบนพื้นพิภพ อะมะเตระสุ (Amaterasu) เทพีแห่งดวงอาทิตย์ที่เกิดจากดวงตาข้างซ้ายของอิซานะกิ เป็นเทพีที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพนับถือมากที่สุด ซึกุโยมิ (Tsukuyomi) เทพแห่งดวงจันทร์ เกิดจากดวงตาข้างขวาของอิซานะกิ และซูซาโนะวู (Susano-o) เทพฝ่ายอธรรมซึ่งเกิดขึ้นจากจมูกของอิซานะกิ
     ดังนั้น “คามิ” ก็คือจิตวิญญาณซึ่งมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ ตั้งแต่ทวยเทพ สิ่งในธรรมชาติและตัวมนุษย์เองก็เป็นคามิเช่นเดียวกัน แต่แม้ว่าจะมีกระบวนการแห่งชีวิตเหล่านี้แผ่ซ่านอยู่ทั่วไป เราก็มักจะไม่สามารถสื่อสารกับสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นเดียวกับกระจกที่ถูกเคลือบด้วยฝุ่นผง สภาวะธรรมชาติของเรากลายเป็นสิ่งที่มืดหม่นคลุมเครืออิ  การจะเข้าถึงสภาวะหรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับคามิ เราจะต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์เบิกบาน จิตใจของมนุษย์นั้นอาจขาดความบริสุทธิ์เบิกบานและพลังชีวิตได้เมื่อจิตใจของเราเต็มไปด้วยสิ่งที่แปดเปื้อน ความไม่จริงใจ ความเห็นแก่ตัว ความเศร้าโศก เมื่อนั้นเรามักจะทำสิ่งที่เลวร้ายและไม่เป็นระเบียบ เช่นเดียวกับแม่น้ำลำคลองที่ถูกทำให้สกปรกมีกลิ่นเหม็นหรือต้นไม้ใหญ่ที่ถูกหักกิ่งตัดงัดให้ตาย ชินโตจึงให้ความสำคัญอย่างสูงกับการ “ชำระตนให้บริสุทธิ์” ทั้งทางร่างกาย ชำระล้างสิ่งสกปรก และทางจิตใจ ชำระล้างทัศนคติ ให้เกิดอารมณ์และจิตใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็งและเฉียบแหลม เพื่อให้เกิดการประพฤติที่ถูกต้องดีงามและจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วย “ความบริสุทธิ์ใจ” (makoto) ต่อผู้อื่นและต่อโลกธรรมชาติ
     มีสัญลักษณ์มากมายในศาสนาชินโตที่เกี่ยวข้องกับการชำระล้างให้บริสุทธิ์เช่น ประเพณีการอาบน้ำ การปัดเป่าด้วยฮาราอิกุชิ  ข้าวสาร เกลือ หรือถั่ว อีกสัญลักษณ์หนึ่งที่เรามักจะพบเห็นได้โดยทั่วไปคือประตูโทริอิ (Torii gate) ที่มักจะสร้างไว้ใกล้ๆกับศาลเจ้าชินโต แม่น้ำ ต้นไม้ใหญ่ ก้อนหินใหญ่ หรือบนยอดเขา อันเป็นเครื่องหมายแสดงว่าในพื้นที่นั้นมีคามิที่ต้องแสดงความคารวะสถิตอยู่
     ปรัชญาชินโตจึงเป็นความเข้าใจชีวิตแบบองค์รวม เชื่อในความกลมกลืนสอดประสานกันของสรรพสิ่งและความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติรอบตัว ความเชื่อที่สำคัญที่สุดของชินโตคือ “ทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ มีชีวิต” พลังอำนาจแห่งชีวิตมีอยู่ทั่วทุกที่ในโลกแห่งปรากฏการณ์  ความเชื่อในปรัชญาชินโตจึงทำให้หัวใจของชาวญี่ปุ่นเต็มไปด้วย “ความรัก” คือความรักในธรรมชาติ ประเทศชาติ พระจักรพรรดิ รักในความสะอาด รักในการสร้างสรรค์และความมีชีวิตชีวา ซึ่งส่งผลปรากฏในจารีตการดำเนินชีวิตและงานสร้างสรรค์ทุกประเภทของชาวญี่ปุ่นค่ะ

Art & Philosophy : ศิลปะกับปรัชญา



สุนทรียศาตร์ยุคคลาสสิก :: ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ




ผลงานของ Leonardo da Vinci
ชื่อภาพว่า "Study for the Head of Leda"
ศิลปะยุคฟื้นฟู เชื่อมั่นในความงามแบบอุดมคติ และมนุษย์สามารถรับรู้ถึงความงามได้ด้วยผลงานอันเต็มไปด้วยอัจฉริยภาพของศิลปิน













"Farmer from Muscel"
ผลงานของ Nicolae Grigorescu
ศิลปินอีกท่านที่ถ่ายทอดงานจิตรกรรมด้วยแนวคิดแบบเหมือนจริง















ผลงานจิตรกรรมสีน้ำมัน รูปเหมือนเด็กหญิงฝีมือของ Peter Paul Rubens
ศิลปินคนสำคัญอีกท่านหนึ่งซึ่งนิยมวาดภาพคนเหมือน ผลงานของ Rubens ได้รับการยอมรับว่าสามารถถ่ายทอดความงดงามในธรรมชาติออกมาในภาพวาดได้อย่างมีชีวิตชีวา




Jackson Pollock (1912 - 1956)
ศิลปินคนสำคัญในกลุ่ม Abstract Expressionism กำลังสาดสีลงบนผืนผ้าใบขนาดใหญ่











ผลงานของ Jackson Pollock
ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มศิลปะ Abstract Expressionism หรือกลุ่มนามธรรม







สุนทรียศาสตร์สมัยใหม่ :: ศิลปะกลุ่ม Abstract Expressionism


กรณีภาพ "ภิกษุสันดานกา" ภาพสะท้อนของศิลปะและสังคม






ภาพวาด "ภิกษุสันดานกา"
ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 เหรียญทองประเภทจิตรกรรม จากการประกวดผลงานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 53 ประจำปี 2550 ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าลบหลู่สถาบันสงฆ์ เช่นความเห็นของ “ ผศ.เสถียร วิพรมหา เลขาธิการเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กล่าวว่า ภาพดังกล่าวไม่เหมาะสมหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป เอาหัวชนกัน หลับตา มีปากแหลมเหมือนปากของอีกา แสดงกิริยาแย่งด้ายสายสิญจน์และตะกรุดในบาตร สักยันต์รูปกบอยู่ในท่าผสมพันธุ์ ส่วนร่างกายของพระด้านขวา มีภาพตุ๊กแกอยู่ในท่ากำลังผสมพันธุ์ด้วย ในย่ามพระมีลูกกรอกแสดงถึงความเป็นเพศชายและเพศหญิง โดยผู้หญิงกำลังทำท่าผสมพันธุ์อยู่”

ด้าน นายอนุพงษ์ จันทร ศิลปินเจ้าของผลงานวัย 27 ปี กล่าวว่า ผลงานดังกล่าว เป็นการนำเสนออีกมุมหนึ่งของสังคม เป็นธรรมดาที่จะมีทั้งคนที่ชอบ ไม่ชอบ เป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว แต่ยืนยันว่านับถือศาสนาพุทธ เจตนาการสร้างงาน จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีเจตนาทำลายศาสนา แต่เป็นการกระตุ้นเรื่องบาปบุญคุณโทษ โดยเอาสิ่งที่เกิดในสังคมจริงๆ มานำเสนอ เนื้อหาอาจจะแรงกระทบใจจากคนกลุ่มหนึ่ง เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกไม่ดี แต่ถ้ามองที่เจตนา จะเป็นตัวบอกจุดมุ่งหมายว่าทำไมศิลปินถึงสร้างงานแนวนี้ เป็นการสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม เป็นวิกฤติศรัทธา ความเชื่อมั่นในพระสงฆ์ปัจจุบัน มีมากน้อยขนาดไหน มีคนเคยเขียนถึงตรงนี้ พูดถึงตรงนี้ไว้มากมาย มีพระเขียนถึงพระเองก็มี รัชกาลที่ 6 ท่านเคยพระราชนิพนธ์ลงในเทศนาเสือป่า เกี่ยวกับปัญหาของพระสงฆ์เอาไว้ด้วยซ้ำ ในหลายๆ ที่ ก็เคยนำเสนอว่า พวกนอกรีต อาศัยศาสนาหากินนั้นมีบัญญติลงโทษเกี่ยวกับบาปกรรมอย่างไร ( เนื้อหาข่าวจาก คมชัดลึก)




ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของ อนุพงษ์ จันทร ศิลปินคนเดียวกันที่วาดภาพ "ภิกษุสันดานกา"











พระสงฆ์ มาชุมนุมประท้วงเพื่อขอให้ยุติการจัดแสดงภาพวาด "ภิกษุสันดานกา" เนื่องจากเห็นว่าเป็นภาพวาดที่ลบหลู่สถาบันสงฆ์ และทำร้ายจิตใจของพุทธศาสนิกชน

สุนทรียศาสตร์สมัยใหม่ : ศิลปะกลุ่มมินิมอลอาร์ท (Minimal Art)

ผลงานในแนวลดทอน ที่เรียกว่า "Minimal Art" ซึ่งยอมรับในทฤษฎีรูปทรง (Theory of Form) ที่เชื่อมั่นว่าศิลปะคือรูปทรงนัยสำคัญ ศิลปะที่ดีที่สุดคือศิลปะที่ลดทอนจนกลายเป็นรูปทรงพื้นฐานที่มีความเรียบง่ายที่สุด และยกย่องว่า "แนวคิดสำคัญกว่าการเล่าเรื่อง"






"Untitled" (1969)ผลงานสุดคลาสสิกของ Donald Judd (1928 -) ศิลปินคนสำคัญในกลุ่มมินิมอลอาร์ท ผลงานชิ้นนี้มีชื่อเสียงมากและถือเป็นต้นแบบของศิลปะในกลุ่มนี้









ผลงานของ Tony Smith (1912 -)ศิลปินชาวนิวเจอร์ซี่ ที่สร้างสรรค์ผลงานในสไตล์มินิมอลอาร์ท ในภาพคืองานประติมากรรมขนาดใหญ่ จัดวางในสวน ภาพจาก ISC Sculpture Magazine




ผลงานของ Dan Flavin (1933-)
ผลงานในกลุ่มศิลปะแบบลดทอนหรือมินิมอลอาร์ท ที่สร้างขึ้นจากการนำหลอดไฟเรืองแสงสีขาวมาจัดเรียงเป็นรูปทรงอย่างเรียบง่าย










ภาพประกอบการเรียน :: สุนทรียศาสตร์ยุคคลาสสิก



เพลโต้ (Plato) นักปรัชญากรีก ยุคคลาสสิก ผู้คิดทฤษฎีที่ว่า ศิลปะคือการเลียนแบบโลกธรรมชาติ (Art as Representation) หรือ ทฤษฎีการเลียนแบบ (Theory of Representation